วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เศรษฐกิจในโลกที่จำกัด

เศรษฐกิจในโลกที่จำกัด

เศรษฐกิจในโลกปัจจุบัน ได้ขยายตัวใหญ่ขึ้น จนเราไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกต่อไปว่า เศรษฐกิจสามารถขยายตัวต่อไปได้ไม่รู้จบ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่มีขอบเขตขีดจำกัด บัดนี้คงถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนจะต้องยอมรับความเป็นจริงของโลกที่กำลังเสื่อมโทรมลงทุกวัน ในทุกๆด้าน ก่อนที่หายนะโลกครั้งต่อไปจะมาถึง จึงจำเป็นต้องมีวิธีคิด วิถีชีวิตแบบใหม่ เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้ชีวมณฑลและระบบนิเวศ์ของโลกที่จำกัด
โดยทั่วไปถือกันว่า
การขยายตัวทางเศรษฐกิจ คือ ยาครอบจักรวาล ที่สามารถแก้ไขปัญหาทุกประเภท ทุกระดับในโลกยุคใหม่ ไม่ว่าความยากจนก็ต้องใช้การขยายตัว โดยการเพิ่มปริมาณการผลิตสินค้า และบริการ และกระตุ้นการใช้จ่ายด้านการบริโภค แล้วคอยเฝ้าดูความมั่งคั่ง ที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จงอย่าแบ่งปันความมั่งคั่ง จากคนร่ำรวยไปให้กับคนยากจน เพราะจะชะลอการขยายตัว
-ปัญหา การว่างงานก็เพียงแต่กระตุ้นอุปสงค์ หรือความอยากได้สินค้าและบริการ ด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และกระตุ้นการลงทุน อันจะนำไปสู่ตำแหน่งงานที่เพิ่มขึ้น และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
-ปัญหา อัตราการเกิดและจำนวนประชากร ต้องผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และรอให้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านประชากรในการลดอัตราการเกิด ดังที่ปรากฏในประเทศอุตสาหกรรมระหว่างทศวรรษที่ 20
-ปัญหา การเสื่อมโทรมของสภาวะแวดล้อมก็ไม่ใช่เรื่องยาก โดยเชื่อในแนวคิดที่ว่า มลพิษจะเพิ่มขึ้นระหว่างการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงต้นๆเท่านั้น ในที่สุดก็จะแตะระดับสูงสุด แล้วลดลงเรื่อยๆเอง
ความเชื่อเหล่านี้จะเป็นจริงๆได้ ก็ต่อเมื่อ เศรษฐกิจของโลกเติบโตในอากาศธาตุที่ไม่มีขอบเขตที่สิ้นสุด แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น เศรษฐกิจของโลกเป็นเพียงระบบย่อยๆที่ดำรงอยู่ในชีวมณฑลและสิ่งแวดล้อมที่มีขอบเขตอันจำกัด แม้จะสร้างขึ้นใหม่ได้ แต่ก็มีความเร็วและปริมาณจำกัดในระดับหนึ่ง
เมื่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ กัดกร่อนระบบนิเวศน์สิ่งแวดล้อมของโลกจนเสียสมดุล มนุษย์ก็ต้องสังเวยด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่า (สัตว์ น้ำ พื้นที่ป่า แร่ธาตุสำคัญ) ซึ่งมีคุณค่าสูงกว่าทรัพยากรที่มนุษย์สร้างขึ้นหลายเท่า (ถนน โรงงาน เครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆ) ที่เป็นเช่นนี้ก็เพียงเพื่อ เพิ่มพูนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เท่านั้น ซึ่งอันที่จริงควรเรียกว่า “
การขยายตัว ที่ไม่ส่งผลดีทางเศรษฐกิจ” เพราะสร้างให้เกิดผลลัพท์ทางด้านลบมากกว่า และเห็นผลได้รวดเร็วกว่าด้านบวก แท้ที่จริงแล้วกลับทำให้เราจนลง ไม่ใช่รวยขึ้น เมื่อเข้าสู่วิกฤติระดับหนึ่ง การขยายตัวเพื่อความมั่งคั่งกลับกลายเป็นสิ่งที่โง่เขลา ทำลายตัวเองในระยะสั้น และเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะรักษาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในรูปแบบเช่นนี้ในระยะยาว ประจักษ์พยานที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ได้แก่วิกฤติเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน อันมีที่มาจาก เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเข้าสู่ช่วง “การขยายตัว ที่ไม่ส่งผลดีทางเศรษฐกิจ” เรียบร้อยโรงเรียนฝรั่งไปแล้ว
แต่คงเป็นเรื่องที่ยากมากๆยากถึงที่สุด ที่จะให้เกิดการยอมรับและหลีกเลี่ยงการขยายตัวตามความเชื่อ ตามแนวทางเก่าๆที่พิสูจน์แล้วว่า ส่งผลเสียมากกว่าผลดี ปัญหาที่สำคัญประการหนึ่ง เพราะว่า มีมนุษย์จำพวกหนึ่งที่ได้รับผลประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แบบนี้ จึงมองไม่เห็นและไมให้ความสำคัญใดๆ กับการเปลี่ยนแปลงหลักคิด วิธีการ วิถีชีวิต หรือกิจกรรมใดๆไปจากเดิม และในบัญชีงบดุลของชาติก็ไม่ต้องแสดงรายการที่ต้องสูญเสียไป เพื่อแลกกับ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ผู้คนได้สำเหนียกถึง มูลค่าที่แท้จริง
ณ ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านอันสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์นี้ มนุษยชาติต้องหันไปหา หลักการ วิธีคิดแบบใหม่ๆ ให้ทันสมัยและสอดคล้องกับความเป็นไปและเป็นจริงของโลกพิภพใบนี้ เพื่อก้าวไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ที่แท้จริง ต้องทำความเข้าใจและตระหนักในข้อจำกัดและขีดจำกัดทางชีวฟิสิกส์ กายภาพของโลก เพื่อให้การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ได้ต่อเนื่อง ยืนยาวไปได้ในอนาคต แต่หากเรายังยึดติด ไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงใดๆ ผลลัพท์ที่จะเกิดขึ้น ไม่เพียงแต่เป็นการขยายตัวที่ไม่ส่งผลดีทางเศรษฐกิจ แต่จะเป็นหายนะทางสิ่งแวดล้อมของโลกพิภพ ที่ไม่อาจคาดเดาได้ถึงผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และวิถีการดำรงชีวิต ของมนุษย์ในอนาคต อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดูคล้ายๆกับคำทำนายทั้งหลายที่กล่าวถึง ภัยพิบัติหายนะของโลกพิภพ

ชีวมณฑลอันจำกัด

ทุกวันนี้ นักเศรษฐศาตร์โดยส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่า มนุษยชาติ นำโดยสหรัฐและอีกหลายประเทศทั่วโลกกำลังพากันเดินหน้าเข้าสู่สภาวะ “การขยายตัว ที่ไม่ส่งผลดีทางเศรษฐกิจ” พวกเขาไม่ใส่ใจและไม่ให้ความสำคัญกับ แนวคิดการขยายตัวอย่างยั่งยืน โดยพวกเขายังเชื่อมั่นว่า โลกได้เดินตามแนวทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจมานานแล้ว และจะยังเดินหน้าตามแนวคิดแนวทางนี้ต่อไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด
สำหรับแนวคิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในโลกตะวันตกนั้น ได้รับการขานรับจากนักเศรษฐศาสตร์ ที่เรียกกันว่า นักเศรษฐศาสตร์เชิงนิเวศน์ และปรากฏอยู่ในแขนงหนึ่งของเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก เรียกว่า เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม แต่ในภาพรวมแล้ว บรรดานักเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก(นีโอคลาสสิค) ก็ยังพากันมองว่า แนวคิดเกี่ยวกับความยั่งยืน เป็นเพียงกระแสนิยม ตามยุคสมัยคล้ายแฟชั่น พวกเขายังยึดติด ยึดมั่นกับ แนวคิดการส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อย่างไม่มีขีดจำกัด
แต่ในโลกความเป็นจริง ไม่ได้เป็นแดนสวรรค์ทางเศรษฐกิจ ที่ไร้ขีดจำกัด ไร้ขอบเขตชีวมณฑล และทรัพยากรนั้นมีปริมาณจำกัดเป็นระบบปิด และถูกจำกัดอยู่ภายใต้กฎเทอร์โมไดนามิกส์ ระบบย่อยใดๆก็ตามภายในโลก เช่น ระบบเศรษฐกิจ เมื่อถึงจุดหนึ่ง ก็จะหยุดเติบโต หยุดขยายตัว และปรับตัวเองเข้าสู่สภาวะสมดุล หรือสภาวะคงที่ (Steady state) เช่น อัตราการเกิดจะสมดุลเท่ากับอัตราการตาย อัตราการผลิตจะเท่ากับอัตราการเสื่อมค่า
ในช่วงเวลา 70 ปีที่ผ่านมา ประชากรโลกได้เพิ่มขึ้น 3 เท่า ส่วนวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้น และผลิตในเชิงสินค้ามีปริมาณมากขึ้นหลายเท่า จากการศึกษาผลกระทบด้านนิเวศน์แสดงให้เห็นว่า ปริมาณพลังงานและวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการดูแลรักษา หรือทดแทนสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นยิ่งมีจำนวนสูงขึ้นมากเช่นกัน และเมื่อโลกเราเต็มไปด้วยมนุษย์และสิ่งที่เราสร้างขึ้นยิ่ง สิ่งที่มีอยู่เดิมบนโลกย่อมลดน้อยลงมากขึ้น และในการรับมือกับการขาดแคลนในรูปแบบใหม่นี้ บรรดานักวิทยาศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ ต้องพัฒนาแนวคิดเศรษฐกิจใหม่ใน “โลกอันแออัด” เข้าแทนที่แนวคิดเศรษฐกิจแบบเดิมๆที่มีพื้นฐานอยู่บน “โลกที่ว่างเปล่า”
ในการศึกษาเศรษฐศาสตร์จุลภาค ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตรวจวัดประมาณการณ์ และแสดงสมดุลระหว่างต้นทุนกับ ผลประโยชน์ที่ได้รับในกิจกรรมหนึ่งๆ บุคคลเฉพาะรายและธุรกิจจะเห็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า เมื่อใดควรยุติการขยายตัวของกิจกรรมนั้นๆ ในความเป็นจริง เมื่อกิจกรรมหนึ่งขยายตัว ในที่สุดแล้ว มันจะเข้าแทนที่กิจกรรมอื่นๆ ซึ่งกิจกรรมที่สูญเสียไปต้องนับเป็นต้นทุนด้วยเช่นกัน ธุรกิจจะหยุดขยายตัว ณ จุดที่ต้นทุนที่จ่ายเพิ่มขึ้น มีค่าเท่ากับหรือมากกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับเพิ่ม เช่น เราจะหยุดจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อไอศกรีม เมื่อไอศกรีมที่ซื้อเพิ่มนั้น สร้างความพอใจให้เราน้อยกว่า การนำเงินนั้นไปซื้อสิ่งอื่น นี่คือ เกณฑ์มาตรฐานในเศรษฐกิจระดับจุลภาค แต่ในเศรษฐศาสตร์ระดับมหภาคแบบเดิม ไม่มีเกณฑ์บ่งชี้ว่า “เมื่อใดควรจะหยุด”
เนื่องจากการหันไปยึดแนวทางการดำเนินเศรษฐกิจแบบยั่งยืนที่แท้จริง ในโลกอันจำกัด ต้องก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอย่างมาก ทั้งในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ นักการเมือง และประชาชน บางคนถึงกับระบุว่าแนวคิดนี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่อีกด้านหนึ่ง แนวคิดเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ในรูปแบบที่มีการขยายตัวไปตลอดกาลตามแนวทางแบบเก่า เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในแง่กายภาพ ชีวฟิสิกส์ของโลกใบนี้ ดังนั้นถ้าให้เลือกระหว่าง สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทางการเมือง กับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทางกฎเกณฑ์ธรรมชาติ คงพอจะมองกันออกว่า มนุษยชาติ ควรเลือกฟันฝ่าอุปสรรคไปทางใดที่พอจะมีความเป็นไปได้ ???

อย่างไร??? ถึงจะเรียกว่าเป็น ความยั่งยืน

เศรษฐกิจแบบยั่งยืนมีลักษณะเป็นอย่างไร โดยทั่วไปแล้วกล่าวได้ว่า เป็นเศรษฐกิจที่สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ในอนาคตที่ยาวไกลท่ามกลางข้อจำกัดของโลกพิภพ แต่ในรายละเอียด เราจะต้องพิจารณาปัจจัยที่ถือเป็นเกณฑ์วัด เป็นรายตัวอย่างลึกซึ้ง และทำความเข้าใจถึงความหมายที่ถูกต้อง รวมถึงสถานะบทบาทที่แท้จริงของปัจจัยแต่ละตัว ในการเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของความยั่งยืน บรรดานักเศรษฐศาสตร์ได้ให้ความสำคัญกับปัจจัย 5 ประการ ได้แก่
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ GDP
อรรถประโยชน์ Utility
จำนวนวัตถุดิบจากทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ไปและทิ้งไป Throughput
ทรัพย์สินทางธรรมชาติ Natural capital
ทรัพย์สินโดยรวม Total capital
บางคนอาจคิดว่าเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ก็คือ การรักษาอัตราการเติบโตของ GDP ไว้ให้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ตามแนวคิดนี้ ภาวะเศรษฐกิจที่ยั่งยืน มีความหมายเท่ากับ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการเข้าใจที่ผิดอย่างร้ายแรง และพวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพิจารณาตอบคำถามที่ว่า การเติบโตขยายตัวอย่างยั่งยืนตามแนวคิดมีความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ตามหลักชีวฟิสิกส์ของโลกหรือไม่??? แต่ว่าแนวคิดนี้มีประโยชน์มากในทางการเมือง เพราะคำว่า “เศรษฐกิจแบบยั่งยืน” สามารถสร้างความประทับใจ และเป็นโวหารที่สามารถปลอบประโลม บรรเทาปัญหาต่างๆที่สุมรุมเร้าอยู่ได้ ทั้งที่ในโลกแห่งความเป็นจริงบนพื้นฐานของแนวคิดแบบเดิมๆไม่อาจเกิดเศรษฐกิจที่ยั่งยืนขึ้นได้
แม้จะพยายามให้คำจำกัดความของความยั่งยืนในแง่ของการรักษา GDP ให้อยู่ในปริมาณที่คงที่ตลอดไป ปัญหาก็ยังไม่หมดไป เพราะ GDP ประกอบไปด้วย การปรับปรุงเชิงคุณภาพ คือการพัฒนา และการเพิ่มในเชิงปริมาณ คือการขยายตัว เศรษฐกิจที่ยั่งยืน ณ จุดหนึ่ง การขยายตัวจะต้องยุติลง แต่การพัฒนายังคงดำเนินต่อไป การปรับปรุงคุณภาพของสินค้าไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นการเพิ่ม GDP โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรเพิ่ม แนวคิดหลักอันเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงได้แก่ การหันเหจากแนวทางการขยายตัวในเชิงปริมาณ ด้วยการมุ่งเน้นจำนวนตัวเลข ซึ่งไม่อาจยั่งยืนไปได้นานนัก ไปมุ่งเน้นการพัฒนาเชิงคุณภาพ ซึ่งมีความยั่งยืนยาวนานกว่า
ปัจจัยตัวต่อไปที่เป็นองค์ประกอบของความยั่งยืน ได้แก่ อรรถประโยชน์ ซึ่งหมายถึง ระดับของความพึงพอใจที่ต้องการ หรือกล่าวง่ายๆคือ ระดับของความกินดีอยู่ดีของประชากร นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก สำนักนีโอคลาสสิค เชื่อว่า ความยั่งยืน คือ การรักษาหรือเพิ่มอรรถประโยชน์ให้ยืนยาวนานหลายชั่วอายุคน แต่คำจำกัดความนี้ไม่มีประโยชน์อันใดในทางปฎิบัติ ความพึงพอใจของมนุษย์เป็นเพียง ประสบการณ์ส่วนบุคคลเท่านั้น จึงไม่อาจถือเป็นบรรทัดฐานได้ และไม่อาจยึดถือเป็นพินัยกรรมสืบทอดไปหลายชั่วอายุคนได้
ระดับความพึงพอใจของมนุษย์ หรือ ระดับของความกินดีอยู่ดีของประชากร ควรอยู่ ณ จุดใด ไม่มีใครบอกได้ชัด แต่มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย ทั้งในระดับปัจเจกชนและระดับประเทศที่มีความเป็นอยู่อย่างพอเพียง แม้ปราศจากทรัพย์สินมากมาย แต่ก็มีชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพ ในขณะที่การแสวงหาความมั่งคั่ง ฟุ้งเฟ้อ อยากมี อยากได้ โดยคิดว่าจะทำให้มีชีวิตที่อยู่ดีกินดี กลับทำให้ชีวิตขาดคุณภาพ และเป็นการทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัวอย่างรุนแรง
ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในโลก ถือเป็นเกณฑ์วัดมาตรฐานได้ และเป็นมรดกสืบทอดจากมนุษย์จากรุ่นสู่รุ่นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สามารถวัดปริมาณวัตถุดิบ ที่เศรษฐกิจฉกฉวยประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้ มนุษย์นำวัตถุดิบมาจากธรรมชาติที่มีความซับซ้อนต่ำในระบบนิเวศน์ แปรสภาพเป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้เป็นประโยชน์ แต่ในที่สุด มนุษย์ก็ต้องทิ้งกลับคืนสู่ธรรมชาติในสภาวะที่มีความซับซ้อนสูง ถ้ากระบวนการดำเนินไปในทางมุ่งเน้นปริมาณ ท้ายที่สุดแล้ว ความสมดุลทางธรรมชาติจะสูญเสียไป ความยั่งยืนที่แท้จริง ในแง่ของทรัพยากรธรรมชาติ และระบบนิเวศน์อันจำกัด คือ การตระหนักถึงขีดความสามารถในการสร้างทรัพยากรทดแทน ตามกระบวนการทางธรรมชาติ และศักยภาพในการรองรับสิ่งเหลือใช้และขยะมลพิษต่างๆ จากกระบวนการผลิตสินค้าและจากตัวสินค้าเองที่เสื่อมสภาพ
นักเศรษฐศาสตร์ถือว่า ทรัพย์สินเป็นทุน หรือเป็นองค์ประกอบของความมั่งคั่ง คือ วัตถุดิบ สินค้าที่ผลิต และตัวโรงงาน ทรัพย์สินที่เป็นทุน แบ่งได้อย่างกว้างๆ คือ ทรัพย์สินทางธรรมชาติ และทรัพย์สินที่มนุษย์สร้างขึ้น
นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก สำนักนีโอคลาสสิค เชื่อว่า ทรัพย์สินที่มนุษย์สร้างขึ้น สามารถทดแทนทรัพย์สินทางธรรมชาติได้ ดังนั้น การจัดการดูแลจึงสามารถมองภาพรวมทั้งสองด้านไปพร้อมๆกันได้ แนวทางนี้เรียกว่า “ความยั่งยืนแบบอ่อน” แต่นักเศรษฐศาสตร์เชิงนิเวศน์ เชื่อว่า ทรัพย์สินทางธรรมชาติ และทรัพย์สินที่มนุษย์สร้างขึ้น มีส่วนเกื้อหนุนกัน แต่ไม่อาจทดแทนกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพยากรธรรมชาติจะมีการปรับสร้างและดูแลตัวเอง ถือเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีความจำกัดในตัวเอง แนวทางนี้เรียกว่า “ความยั่งยืนแบบเข้ม”
ตัวอย่างเช่น ความยั่งยืนแบบเข้มระบุว่า ปริมาณการจับปลาแต่ละปีมีจำนวนจำกัด เนื่องจาก ประชากรปลาแต่ละชนิดมีจำนวนจำกัด และไม่ว่าจะเพิ่มปริมาณทรัพย์สินที่มนุษย์สร้างให้มากขึ้นเท่าใด ก็ไม่สามารถทดแทนหรือชดเชยปริมาณปลาที่น้อยลงได้ แต่แนวคิดความยั่งยืนแบบอ่อนระบุว่า ปริมาณการจับปลาที่ลดน้อยลง สามารถชดเชยได้ด้วยการสร้างเรือหาปลาเพิ่มขึ้น ซึ่งแนวคิดความยั่งยืนแบบเข้มยืนยันว่า การเพิ่มจำนวนเรือหาปลา ไม่มีประโยชน์อันใดถ้าปริมาณปลายังมีจำนวนเท่าเดิม หรือลดน้อยลงเรื่อยๆ ดังนั้น หนทางที่ดีที่สุดคือ การจำกัดปริมาณการจับปลา เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะมีปลาให้จับในอนาคตอันยืนยาว
ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์แบบดั้งเดิม มักเกี่ยวข้องกับปัญหาด้านการจัดสรรปันส่วน การกำหนดส่วนแบ่ง ส่วนกระจาย ท่ามกลาง ประชากรผู้แข่งขันในการแสวงหา แต่ไม่คำนึงถึงปริมาณในภาพกว้างทางด้านกายภาพของโลกใบนี้ ดังความเชื่อที่ว่า ตลาดที่มีกลไกเหมาะสม จะสามารถกระจายและแบ่งปันทรัพยากรและสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ปัญหาก็คือ มันคนละเรื่องเดียวกันกับ ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ ที่จะสามารถบรรลุได้ด้วยนโยบายที่ถูกต้อง เหมาะสม มองการณ์ไกล และสอดคล้องกับความเป็นจริงของโลกใบนี้เท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น