วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างไร?

โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 17 กรกฎาคม 2553



เป้าหมายแท้จริงของมนุษย์คือ เรียนรู้ความจริงที่แท้ของโลกและตัวเอง เดี๋ยวนี้เราคิดว่าเรารู้แล้วว่าเพื่ออะไร? คือเราสงสัยว่า แท้ที่จริงมนุษย์ต้องการเรียนรู้ความจริง เพราะเราปรารถนาจะทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ตามเจตนารมณ์ของจักรวาล ซึ่งมีเพียงเป้าหมายเดียวคือวิวัฒนาการ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นจักรวาล ต้องมีวิวัฒนาการหรือการเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น และเดี๋ยวนี้ นักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาหลายต่อหลายคนเชื่อว่าวิวัฒนาการสำหรับมนุษย์นั้น เป็นวิวัฒนาการของกายและจิต วิวัฒนาการทางกายภาพนั้นมองเห็นได้ จึงเป็นการง่ายที่คนทั่วไปจะเชื่อหรือเข้าใจ แต่วิวัฒนาการของจิตนั้นมองไม่เห็นจึงเชื่อหรือเข้าใจยาก

สรุปง่ายๆ มนุษย์จะเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ เรียนรู้ความจริงไปเรื่อยๆ ประวัติศาสตร์กับวิวัฒนาการของวัฒนธรรมและอารยธรรมบอกเราเช่นนั้น วิวัฒนาการและเรียนรู้เพื่ออะไรหรือ? ก็เพื่อกระบวนการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์น่ะสิ! วิวัฒนาการของกายนั้นเรารู้ว่าแทบจะจบสิ้นสมบูรณ์ เมื่อเราเรียนรู้การเรียงลำดับของพันธุกรรมหมดสิ้นแล้ว แต่วิวัฒนาการทางจิต (จิตสำนึกใหม่ที่บริหารที่สมองซึ่งจะมีใหม่…และมีใหม่...ไปเรื่อยๆ) นั้น ยังห่างไกลจากคำว่าเสร็จสิ้นสมบูรณ์นัก

กระบวนการเปลี่ยนแปลงตัวเองของมนุษย์ในวันข้างหน้าจึง “จำเป็น” ซึ่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงอันเป็นการบริหารของสมองต่อจิตไร้สำนึก (ทั้งโดยรวมหรือจิตจักรวาล กับปัจเจกหรือบารมี) ให้เป็นจิตสำนึก ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ของสมอง เช่น ประสาทวิทยาศาสตร์ ในปัจจุบันที่ศึกษาวิจัยการโยงใยระหว่างกันของเซลล์สมอง (wiring) ซึ่งไม่เคยเป็นเส้นตรงเลย แต่เป็นสามมิติทั่วทิศทั่วทาง และกระบวนการโยงใยของเซลล์สมอง (ที่จะใหม่ตลอดเวลา) ก็คือการสร้างจิตสำนึกใหม่ตลอดเวลานั่นเอง

แต่สังคมของมนุษย์ให้ความจริงทางโลกทางสังคมผิดๆ และผิดทุกระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา ฯลฯ ดังได้พูดมาแล้วหลายครั้งหลายหน เราจึงต้องเปลี่ยนแปลงสังคมด้วย นอกจากตัวเอง ตามที่หลายๆ คนกำลังทำอยู่ คือหันไปเข้าวัด ทั้งๆ ที่บางคนไม่รู้ว่าตัวเองต้องการปลี่ยนไปทำไม? หรือกระบวนทัศน์ใหม่คืออะไร? รู้แต่ว่าต้องเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมของตนและสังคม เพราะโลกกำลังจะพัง? และการเปลี่ยนแปลงทั้งสองนั้นจำต้องเปลี่ยนที่จิต

บทความต่างๆ ที่ผู้เขียนเอามาเขียนซ้ำแล้วซ้ำอีก เช่น เรื่องตะวันตกตะวันออก เรื่องสิทธิมนุษยชนกับความก้าวหน้า ฯลฯ หรือเรื่องดิน มนุษย์ ฟ้า ย่อมมีเหตุผล เพื่อท้าทายท่านผู้อ่านว่าเนื้อหาสาระของเรื่องที่เขียนนั้นมีเหตุผลหรือไม่? เห็นด้วยหรือไม่? และถ้าหากเห็นด้วยแล้ว เราควรทำอย่างไร? และสำหรับบทความนี้ หากเห็นด้วยแล้ว เราควรเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ของตัวเองโดยด่วนหรือไม่? เป็นต้นว่า เราสมควรจะคิดว่าจิต – ตามที่นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลหลายต่อหลายคน เช่น จอร์จ วอลด์ เซอร์อาร์เธอร์ เอ็ดติงตัน เซอร์เจมส์ จีนส์ – หรือเห็นว่าจิต (consciousness) มาก่อนและสำคัญกว่าวัตถุ (matter) หรือไม่? หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนานั้น สำคัญกว่าวิทยาศาสตร์ (กายภาพ) หรือไม่? และถ้าหากว่าเราได้คิดอย่างลึกซึ้งแล้วว่า ศาสนาทั้งมาก่อน (ไม่ใช่ด้วยเวลานะครับ) และสำคัญกว่าวัตถุแล้วไซร้ เราจะต้องคิดเช่นนั้น ทั้งโดยปัจเจกบุคคลและทั้งมนุษยชาติ เป็นสังคม ชุมชน ประเทศชาติโดยรวม

แต่เรา – โดยเฉพาะคนไทยส่วนใหญ่มากๆๆ ที่ปากอย่างใจอย่าง – ไม่ได้ทำเช่นนั้นเลย เราส่วนใหญ่มากๆๆ ดูเหมือนจะเชื่อพุทธศาสนากันแต่ปาก

ฟรานซิส เบคอน นักปรัชญาผู้รักษาตราประทับราชสำนักของพระเจ้าเจมส์ที่สาม แห่งราชวงศ์อังกฤษ เป็นผู้มีอิทธิพลอย่างยิ่งไม่จำเพาะในอังกฤษแต่ทั้งยุโรปเลย ฟรานซิส เบคอน คงจะเกลียดหรือกลัวธรรมชาติมาก เพราะเขียนหนังสือเชิงเรียกร้องให้มนุษย์ ซึ่งเขาคิดว่าไม่ใช่ธรรมชาติ – จะต้องเอาชนะธรรมชาติให้ได้ – และจากความมุ่งมั่นประกอบกับอิทธิพลของเขา ทำให้ผู้เขียนเชื่อว่าคงมีนักวิชาการและปัญญาชนจำนวนไม่น้อยพลอยเชื่อตามไปด้วย และความคิดของเขามีส่วนอย่างสำคัญในการสร้างโลกทัศน์วัตถุนิยมแทนธรรมชาตินิยมให้กับนักวิชาการและปัญญาชนเมื่อกว่าสี่ร้อยปีมาแล้ว ที่ค่อยๆ แพร่เป็นวงกว้างขึ้นจนกระจายไปทั่วยุโรป อย่าลืมว่า ฟรานซิส เบคอน มีอายุแก่กว่า ไอแซค นิวตัน ไม่กี่ปี เรียกว่าเป็นคนรุ่นเดียวกันก็ได้ ฉะนั้น โลกทัศน์ของ ฟรานซิส เบคอน อาจพูดได้ว่า ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริงหรือเป็นวิทยาศาสตร์แยกส่วนที่พิสูจน์ได้ทั้งหมดในสมัยนั้น ด้วยกฎแห่งการเคลื่อนที่ของนิวตัน เพราะร่างกายสามารถแยกย่อยต่อไปให้เล็กละเอียด เช่น สสารวัตถุได้

ในสมัยนั้นก็เช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์วัตถุนิยมในสมัยนี้ รวมทั้งนักเทคโนโลยีส่วนใหญ่มากๆๆ ของประเทศกำลังพัฒนาหรือพัฒนาใหม่ๆ ที่มักเห็นว่าอะไรๆ เป็นวัตถุทั้งนั้น แม้ว่าเรามีฟิสิกส์ใหม่แล้ว มีแควนตัมแมคคานิกแล้ว มีซุปเปอร์สตริงธีออรีแล้ว เราก็ยังคิดว่าองค์ความรู้ใหม่เหล่านี้เป็นแค่สิ่งสวยๆ งามๆ หรือแปลกดี แต่ไม่มีประโยชน์โดยสิ้นเชิงสำหรับมนุษย์และสังคมกับโลกที่หยาบใหญ่ โดยมีน้อยคนเหลือเกินที่คิดว่านั่นคือกฎการทำงานของธรรมชาติที่แท้จริง คนเหล่านี้ ทั้งๆ ที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ และปัญญาชน รวมทั้งสาธารณชนคนทั่วไปส่วนหนึ่ง ถึงได้เป็นวัตถุนิยมกันแทบจะหมดทั่วทั้งโลก รวมถึงไทยเราที่หลงใหลในเทคโนโลยีทั้งประเทศ...อนิจจัง...อนิจจา

เพราะฉะนั้น เราจึงไม่รู้ว่าองค์ความรู้เก่าหรือวิทยาศาสตร์กายภาพที่ใช้กันมาตั้งกว่า ๔๐๐ ปีนั้น ส่วนใหญ่ใช้อธิบายธรรมชาติที่ละเอียดสุดจริงๆ ไม่ได้เลย เราทำได้หรืออธิบายได้แต่เพียงหยาบๆ หรือระดับโลกหรือระดับวัตถุ เพื่อนำธรรมชาติของโลกมาใช้งาน เท่านั้น คือเราส่วนใหญ่จะรู้แต่เทคโนโลยี แต่เราจะต้องเรียนและรู้ธรรมชาติทั้งหมด ถึงระดับจักรวาลจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดทั้งสิ้นเลย

สาเหตุที่ไม่ได้กระทำเช่นนั้นมีอยู่สามประการคือ หนึ่ง ผู้เขียนเชื่อว่า เราทั้งรักและกลัวธรรมชาติระดับบน หรือจิตจักรวาล หรือเทวดาพระเจ้าโดยไม่รู้ตัว รักและกลัวการให้รางวัลและการลงโทษ ซึ่งก็คือที่มาของกรรมนั่นเอง สอง เราเชื่อตา หู ของตัวเองว่าให้ความจริงที่แท้ โดยไม่แยแสสนใจว่าสัตว์อื่นใด จะเห็นหรือได้ยินเหมือนกับเราเปี๊ยบหรือไม่ สาม ด้วยอิทธิพลของ ฟรานซิส เบคอน และ ไอแซค นิวตัน หรือวิทยาศาสตร์ (เฉยๆ ในสมัยนั้น) ที่พิสูจน์ได้เบ็ดเสร็จว่าตรงกันเป๊ะกับข้อสองอันเป็นของมนุษย์เราแท้ๆ หากว่าเราไม่เชื่อตัวเราเอง (self and ego) แล้วจะให้เชื่อใครที่ไหน?

ทั้งสามข้อคือสาเหตุที่เราส่วนใหญ่มากๆๆ พากันยอมรับและกลายเป็นสามัญสำนึก และยิ่งเรามีเทคโนโลยีที่เอามาใช้ได้จริง ในระดับที่หยาบ-ในระดับโลกแห่งวัตถุ เราเลยยิ่งลืมเลือนความหยาบกระด้างของมันไปโดยสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่เรามีแควนตัมฟิสิกส์ใหม่ๆ แล้ว แต่เราส่วนใหญ่ยังคิดว่าแค่เป็นทฤษฎีที่แปลก เอามาใช้ไม่ได้ สำหรับมนุษย์แล้ว ธรรมชาติมีประโยชน์เพียงอย่างเดียว คือเป็นขี้ข้ารับใช้ที่ไม่มีคุณค่าและความหมายโดยสิ้นเชิง กว่ามนุษย์จะรู้ตัวว่าธรรมชาติระดับล่างที่เรามองเห็น กับธรรมชาติระดับบนที่มองไม่เห็น คือหนึ่งเดียวที่เราไม่สามารถจะแยกออกจากกันได้ เพราะว่าทั้งหมดคือจิตจักรวาล และคือธรรมะของพุทธศาสนาก็สายเกินไป ดังที่เราส่วนใหญ่ที่ยิ่งยากไร้หรืออยู่ในประเทศด้อยพัฒนายิ่งประสบอยู่ในทุกวันนี้

โดยเหตุผลและประสบการณ์เท่าที่ตาเห็น หูได้ยิน ที่มนุษย์ทุกคนมีมาตั้งแต่ต้น ปรัชญาธรรมชาติของกรีกจึงบอกมานาน ตั้งแต่ก่อนจะมีคริสต์ศาสนาเสียอีกว่า ความจริงมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น เป็นดั่งที่ตาเห็นหูได้ยินนั่นแหละ เดโมคริตัสบอกมากว่า ๒,๓๐๐ ปีแล้วว่า โลกมีแต่วัตถุเท่านั้น และสสารประกอบเป็นวัตถุที่เล็กละเอียดที่สุด หรืออะตอมจะไม่มีทางแยกต่อไปได้อีก ตรงกันข้ามกับปรัชญาของอินเดียโบราณรวมทั้งลัทธิพระเวทที่มีมาก่อนชาวกรีกนานนักหนา แม้ในทางพุทธศาสนาเองที่มาทีหลัง ยังบอกว่าอะตอมหรือปรมาณูนั้นยังแยกย่อยออกไปได้อีกเรียกว่า “จุลปรมาณู” แถมยังให้ประมาณการที่ไล่ต่อไปถึงสูญตาหรือความว่าง (void or absolute space) ที่ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลย แต่เป็นความว่างที่เต็มไปด้วยความเต็ม ที่เต็มไปด้วยพลังงาน ซึ่งเป็นพลังงานจิต (ญานะปราณ) ที่แยกออกมาจากจิตจักรวาลไม่ได้ (ดู Universe unconscious continuum ของ คาร์ล จุง, Bardo Thodal ของ W. Evan-Wentz, Hidden Dimension ของ B. Alan Wallace, The 2007 Shift Report, Evidences of a World Transformation)

ฝรั่งตะวันตกอยู่ในห้วงของการเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยเฉพาะนักวิชาการ ปัญญาชน นักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักฟิสิกส์ และนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงแทบจะทุกคนกระมัง? จำนวนไม่น้อยได้หันมาทางตะวันออก ทำสมาธิ แสวงหา “คุณค่า” ใหม่ๆ ของชีวิต แสวงหาความรักเมตตาให้อภัย ใจกว้าง กับความโอบอ้อมอารี เกิดองค์กร สถาบันและศูนย์ต่างๆ เพื่อการเจริญงอกงามของประสบการณ์ภายในและการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดในหน้าฝน เช่น ศูนย์บูรณาการปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลง ศูนย์การทำสมาธิชุมชน ศูนย์ฉันเองค้นพบฯลฯ ซึ่งศูนย์ต่างๆ เหล่านี้จะเน้นการเปลี่ยนแปลงที่จิตก่อนแล้วถึงจะมาที่พฤติกรรม

เรา - ในบ้านเราคงจะรอคอยการเปลี่ยนแปลงสังคมของเรา และการเปลี่ยนแปลงของตัวเองแต่ละคนไม่ไหว ทั้งๆ ที่หลายคนเหลือเกินที่หันหน้าเข้าหาวัด เข้าหาศาสนา เข้าสู่การปฏิบัติจิตและสมาธิ โดยไม่รู้เป้าหมายจริงๆ หรือพาให้ตัวเองรอดคนเดียว เป็นปัจเจกพุทธที่แม้จะประเสริฐแต่ยังขาดโดยรวมซึ่งคือเป้าหมายของจักรวาล เราจึงควรมุ่งแก้ไขอวิชชาก่อน หาปัญญา (ปัญญาวิมุตติ) ก่อนแล้วแก้ไขราคะ (เจโตวิมุตติ) ที่ง่ายกว่า


วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 at ที่ 11:00 by knoom
ป้ายกำกับ: ,


1 ความคิดเห็น:
ยุทธ กัลยา Says: 8 สิงหาคม 2553, 3:19
เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึง ดวงดาว

ไม่ใช่เพียงคำเปรียบเปรยซะแล้ว

แต่คือความจริงแท้แห่งจักรวาล..

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

"โกงได้หากมีฝีมือ" คือ ทัศนอุบาทว์

ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน 17 จังหวัดของเอแบคโพลล์เมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่าบ้านเมืองของเรากำลังมีปัญหาที่ร้ายแรงในเรื่อง "เข็มทิศศีลธรรม" การสำรวจในหัวข้อ "การทำธุรกิจสามารถโกงได้หรือไม่" พบว่าร้อยละ 84 ของความเห็นประชาชนเห็นด้วยว่าสามารถโกงได้ ส่วนหัวข้อ "การทำงานด้านการเมืองสามารถโกงได้หรือไม่" ประชาชนร้อยละ 51 เห็นด้วยว่าสามารถโกงได้ถ้ามีฝีมือ และอีกร้อยละ 48 ไม่เห็นด้วยแม้จะมีฝีมือก็ตามถึงแม้จะไม่มีข้อมูลว่ากลุ่มผู้ตอบเป็นตัวแทนของประชากรทั้งประเทศทางสถิติหรือไม่ และการเห็นด้วยว่า "โกงได้" หมายถึงการยอมรับการคดโกงหรือไม่ แต่แค่นี้ก็พอให้ภาพของการหลงผิดของสังคมไทย เนื่องจากสอดคล้องกับการสำรวจความเห็นก่อนหน้าของ "ธุรกิจบัณฑิตย์โพล" ที่ว่ายอมให้นักการเมืองโกงได้ถ้ามีผลงาน"เข็มทิศศีลธรรม" คือสิ่งชี้ว่าอะไรผิดอะไรถูก สิ่งใดถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและเป็นตัวแทนของความดีงามการคดโกง ฉ้อฉลนั้นผิดทั้งศีลธรรมและกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมือง ผู้ที่เห็นว่าในการทำงานด้านการเมืองสามารถโกงได้ถ้ามีฝีมือ (ผลงาน) คงนึกไปไม่ถึงว่าการคดโกงนั้นมีจิตวิญญาณและแขนขาของมันเอง กล่าวคือเมื่อครั้งหนึ่งโกงได้ก็จะมีครั้งต่อไปและหนักมือขึ้น จน "ฝีมือ" หรือ "ผลงาน" ที่เคยมีนั้น ในที่สุดก็หมดไปพร้อมกับสูญเสียเงินไปเปล่าๆหากความรู้สึกยอมรับการโกงดังกล่าวเป็นของสังคมอย่างแท้จริง นักการเมืองทั้งระดับชาติและท้องถิ่นก็จะย่ามใจและมีการโกงกันมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างมากมาย (ยังจินตนาการไม่ได้ว่าจะโกงได้อีกแค่ไหน เพราะเท่าที่ผ่านมามันก็เต็มกลืนแล้ว ทั้งโกงระดับพื้นๆ และโกงระดับนโยบาย) จนน่าอเนจอนาถสังคมไทยยิ่งนักถ้าตีความการตอบที่ว่าโกงในทางธุรกิจนั้นทำได้หมายถึงการโกงเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ผู้ที่ตอบว่าโกงได้อาจไม่ทราบว่าตัวอย่างการฉ้อฉลคดโกงในสหรัฐอเมริกาโดย CEO ของหลายบริษัทเป็นเงินนับพันล้านเหรียญ ทำให้ผู้ถือหุ้นที่ใช้เงินออมทั้งชีวิตมาลงทุนด้วยต้องซับน้ำตาจนถึงฆ่าตัวตายก็มีจริยธรรมทางธุรกิจเป็นพื้นฐานสำคัญของการประกอบธุรกิจ ถ้าผู้คนเห็นว่าการคดโกงเป็นเรื่องปกติที่สามารถทำได้แล้ว การประกอบธุรกิจก็จะไม่สามารถเป็นไปได้อย่างราบรื่นเพียงแค่เรื่องไร้จริยธรรมในเรื่องความไว้วางใจ ไม่สามารถนับถือคำพูดของกันและกันได้ ก็บั่นทอนการดำเนินธุรกิจพอแรงแล้วในทางการเมือง คอร์รัปชั่นมิใช่หมายถึงเพียงการสูญเสียเงินงบประมาณหรือทรัพยากรบางอย่างไปจากที่ควรจะเป็นเท่านั้น เช่น สูญเสียงบประมาณไปร้อยละ 30 จากการรั่วไหลเพื่อแลกกับ "ผลงาน" หรือ "ฝีมือ" ที่ได้รับกลับมา หากประชาชนผู้เสียภาษีและสังคมเสียหายมากกว่านั้นอีกมากมายในหลายประการดังต่อไปนี้ในประการแรก คอร์รัปชั่นบ่อนเซาะประชาธิปไตยเนื่องจากคอร์รัปชั่นทำให้สิทธิของประชาชนไม่เท่ากัน เพราะบางคนได้รับประโยชน์ หรือทำให้บางคนได้รับประโยชน์พิเศษแตกต่างจากคนอื่น นอกจากนี้ยังทำให้โอกาสของประชาชนในการได้รับประโยชน์จากภาครัฐไม่เท่ากันอีกด้วย ไม่ว่าในเรื่องโอกาสทางการศึกษา (บางท้องถิ่นได้รับมากกว่าเพราะไม่มีคอร์รัปชั่น) โอกาสในการประกอบธุรกิจ (ผู้มีอิทธิพลเท่านั้นที่มีสิทธิเข้าประมูล) ฯลฯประการที่สอง คอร์รัปชั่นทำลายพื้นฐานจริยธรรมของสังคมอย่างร้ายแรง ในสังคมที่ประชาชนเห็นว่าคอร์รัปชั่นเป็นสิ่งถูกต้อง สังคมนั้นจะเน่าที่แกนใน (core) ของความเป็นสังคมแห่งความถูกต้อง ความศรัทธาในความดีความงามและความจริงจะค่อยๆ สูญหายไปทีละน้อยประการที่สาม คอร์รัปชั่นทำให้การจัดสรรทรัพยากรที่ถูกต้องเหมาะสมบิดเบี้ยวไปจากที่ตั้งใจไว้ ทรัพยากรที่ภาครัฐตั้งใจจัดสรรลงไปในภาคที่สำคัญอาจเหลือไม่มาก เพราะคอร์รัปชั่นในขณะที่ทรัพยากรในภาคที่สำคัญน้อยลงไป อาจเหลือเกินกว่าความต้องก็เป็นได้ประการที่สี่ คอร์รัปชั่นทำให้การตัดสินใจบิดเบี้ยวจากที่ควรจะเป็น เพราะอามิสสินจ้างทำให้ตามืดมัว เป้าหมายมิใช่ผลประโยชน์ของประชาชน หากเป็นกระเป๋าของตนเอง การตัดสินใจเช่นนี้นำไปสู่ความสูญเสียทรัพยากรอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งทรัพยากรที่สูญไปนั้นอาจนำไปใช้ในเรื่องอื่นๆ ที่มีประโยชน์สูงกว่าได้Gunnar Myrdal นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบิลคนแรกของโลกกล่าวว่า สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่สามารถเกิดขึ้นกับสังคมหนึ่งก็คือ ความเชื่อว่า “ทุกคนในสังคมโกงด้วยกันทั้งนั้น” เมื่อคิดว่าใครๆ ก็โกง ความชอบธรรมของการโกงจึงเกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยแพร่กระจายการโกงให้มากมายยิ่งขึ้นในสังคมและการแก้ไขทำได้ยากยิ่งสังคมไทยในทุกส่วนจะต้องช่วยกันชี้ให้เห็นว่า การคดโกงไม่มีความชอบธรรม เป็นสิ่งชั่วร้าย เป็นสิ่งคุกคามสังคมของเรา บั่นทอนความดีความงาม ทำลายความเป็นสังคมของเราที่น่าอยู่และยั่งยืน บ่อนเซาะสิ่งซึ่งเป็นรากฐานของสังคมเรา ฯลฯ และสำคัญที่สุดเรายอมรับความคิดที่ออกนอกลู่นอกทางไม่ได้คุณอานันท์ ปันยารชุน เคยบอกว่าคอร์รัปชั่นที่น่ากลัวที่สุดก็คือ Corruption of The mind หรือการเห็นผิดเป็นถูก กล่าวคือ "เข็มทิศศีลธรรม" ของสังคมเราบิดเบี้ยวป่นปี้เราจะปล่อยให้สังคมของเราล่องลอยไปตามกระแสความโลภไม่ได้ ขาดศรัทธาในความดีงามไม่ได้ "เห็นกงจักรเป็นดอกบัว" ไม่ได้ เพราะหากปล่อยไว้สังคมของเราจะถูกทำลายอย่างย่อยยับ สิ่งที่บรรพบุรุษของเราได้เสียเลือดเนื้อพยายามรักษาไว้มายาวนานก็จะหมดความหมายไปโดยสิ้นเชิง

เศรษฐกิจในโลกที่จำกัด

เศรษฐกิจในโลกที่จำกัด

เศรษฐกิจในโลกปัจจุบัน ได้ขยายตัวใหญ่ขึ้น จนเราไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกต่อไปว่า เศรษฐกิจสามารถขยายตัวต่อไปได้ไม่รู้จบ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่มีขอบเขตขีดจำกัด บัดนี้คงถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนจะต้องยอมรับความเป็นจริงของโลกที่กำลังเสื่อมโทรมลงทุกวัน ในทุกๆด้าน ก่อนที่หายนะโลกครั้งต่อไปจะมาถึง จึงจำเป็นต้องมีวิธีคิด วิถีชีวิตแบบใหม่ เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้ชีวมณฑลและระบบนิเวศ์ของโลกที่จำกัด
โดยทั่วไปถือกันว่า
การขยายตัวทางเศรษฐกิจ คือ ยาครอบจักรวาล ที่สามารถแก้ไขปัญหาทุกประเภท ทุกระดับในโลกยุคใหม่ ไม่ว่าความยากจนก็ต้องใช้การขยายตัว โดยการเพิ่มปริมาณการผลิตสินค้า และบริการ และกระตุ้นการใช้จ่ายด้านการบริโภค แล้วคอยเฝ้าดูความมั่งคั่ง ที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จงอย่าแบ่งปันความมั่งคั่ง จากคนร่ำรวยไปให้กับคนยากจน เพราะจะชะลอการขยายตัว
-ปัญหา การว่างงานก็เพียงแต่กระตุ้นอุปสงค์ หรือความอยากได้สินค้าและบริการ ด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และกระตุ้นการลงทุน อันจะนำไปสู่ตำแหน่งงานที่เพิ่มขึ้น และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
-ปัญหา อัตราการเกิดและจำนวนประชากร ต้องผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และรอให้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านประชากรในการลดอัตราการเกิด ดังที่ปรากฏในประเทศอุตสาหกรรมระหว่างทศวรรษที่ 20
-ปัญหา การเสื่อมโทรมของสภาวะแวดล้อมก็ไม่ใช่เรื่องยาก โดยเชื่อในแนวคิดที่ว่า มลพิษจะเพิ่มขึ้นระหว่างการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงต้นๆเท่านั้น ในที่สุดก็จะแตะระดับสูงสุด แล้วลดลงเรื่อยๆเอง
ความเชื่อเหล่านี้จะเป็นจริงๆได้ ก็ต่อเมื่อ เศรษฐกิจของโลกเติบโตในอากาศธาตุที่ไม่มีขอบเขตที่สิ้นสุด แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น เศรษฐกิจของโลกเป็นเพียงระบบย่อยๆที่ดำรงอยู่ในชีวมณฑลและสิ่งแวดล้อมที่มีขอบเขตอันจำกัด แม้จะสร้างขึ้นใหม่ได้ แต่ก็มีความเร็วและปริมาณจำกัดในระดับหนึ่ง
เมื่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ กัดกร่อนระบบนิเวศน์สิ่งแวดล้อมของโลกจนเสียสมดุล มนุษย์ก็ต้องสังเวยด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่า (สัตว์ น้ำ พื้นที่ป่า แร่ธาตุสำคัญ) ซึ่งมีคุณค่าสูงกว่าทรัพยากรที่มนุษย์สร้างขึ้นหลายเท่า (ถนน โรงงาน เครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆ) ที่เป็นเช่นนี้ก็เพียงเพื่อ เพิ่มพูนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เท่านั้น ซึ่งอันที่จริงควรเรียกว่า “
การขยายตัว ที่ไม่ส่งผลดีทางเศรษฐกิจ” เพราะสร้างให้เกิดผลลัพท์ทางด้านลบมากกว่า และเห็นผลได้รวดเร็วกว่าด้านบวก แท้ที่จริงแล้วกลับทำให้เราจนลง ไม่ใช่รวยขึ้น เมื่อเข้าสู่วิกฤติระดับหนึ่ง การขยายตัวเพื่อความมั่งคั่งกลับกลายเป็นสิ่งที่โง่เขลา ทำลายตัวเองในระยะสั้น และเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะรักษาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในรูปแบบเช่นนี้ในระยะยาว ประจักษ์พยานที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ได้แก่วิกฤติเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน อันมีที่มาจาก เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเข้าสู่ช่วง “การขยายตัว ที่ไม่ส่งผลดีทางเศรษฐกิจ” เรียบร้อยโรงเรียนฝรั่งไปแล้ว
แต่คงเป็นเรื่องที่ยากมากๆยากถึงที่สุด ที่จะให้เกิดการยอมรับและหลีกเลี่ยงการขยายตัวตามความเชื่อ ตามแนวทางเก่าๆที่พิสูจน์แล้วว่า ส่งผลเสียมากกว่าผลดี ปัญหาที่สำคัญประการหนึ่ง เพราะว่า มีมนุษย์จำพวกหนึ่งที่ได้รับผลประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แบบนี้ จึงมองไม่เห็นและไมให้ความสำคัญใดๆ กับการเปลี่ยนแปลงหลักคิด วิธีการ วิถีชีวิต หรือกิจกรรมใดๆไปจากเดิม และในบัญชีงบดุลของชาติก็ไม่ต้องแสดงรายการที่ต้องสูญเสียไป เพื่อแลกกับ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ผู้คนได้สำเหนียกถึง มูลค่าที่แท้จริง
ณ ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านอันสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์นี้ มนุษยชาติต้องหันไปหา หลักการ วิธีคิดแบบใหม่ๆ ให้ทันสมัยและสอดคล้องกับความเป็นไปและเป็นจริงของโลกพิภพใบนี้ เพื่อก้าวไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ที่แท้จริง ต้องทำความเข้าใจและตระหนักในข้อจำกัดและขีดจำกัดทางชีวฟิสิกส์ กายภาพของโลก เพื่อให้การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ได้ต่อเนื่อง ยืนยาวไปได้ในอนาคต แต่หากเรายังยึดติด ไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงใดๆ ผลลัพท์ที่จะเกิดขึ้น ไม่เพียงแต่เป็นการขยายตัวที่ไม่ส่งผลดีทางเศรษฐกิจ แต่จะเป็นหายนะทางสิ่งแวดล้อมของโลกพิภพ ที่ไม่อาจคาดเดาได้ถึงผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และวิถีการดำรงชีวิต ของมนุษย์ในอนาคต อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดูคล้ายๆกับคำทำนายทั้งหลายที่กล่าวถึง ภัยพิบัติหายนะของโลกพิภพ

ชีวมณฑลอันจำกัด

ทุกวันนี้ นักเศรษฐศาตร์โดยส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่า มนุษยชาติ นำโดยสหรัฐและอีกหลายประเทศทั่วโลกกำลังพากันเดินหน้าเข้าสู่สภาวะ “การขยายตัว ที่ไม่ส่งผลดีทางเศรษฐกิจ” พวกเขาไม่ใส่ใจและไม่ให้ความสำคัญกับ แนวคิดการขยายตัวอย่างยั่งยืน โดยพวกเขายังเชื่อมั่นว่า โลกได้เดินตามแนวทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจมานานแล้ว และจะยังเดินหน้าตามแนวคิดแนวทางนี้ต่อไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด
สำหรับแนวคิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในโลกตะวันตกนั้น ได้รับการขานรับจากนักเศรษฐศาสตร์ ที่เรียกกันว่า นักเศรษฐศาสตร์เชิงนิเวศน์ และปรากฏอยู่ในแขนงหนึ่งของเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก เรียกว่า เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม แต่ในภาพรวมแล้ว บรรดานักเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก(นีโอคลาสสิค) ก็ยังพากันมองว่า แนวคิดเกี่ยวกับความยั่งยืน เป็นเพียงกระแสนิยม ตามยุคสมัยคล้ายแฟชั่น พวกเขายังยึดติด ยึดมั่นกับ แนวคิดการส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อย่างไม่มีขีดจำกัด
แต่ในโลกความเป็นจริง ไม่ได้เป็นแดนสวรรค์ทางเศรษฐกิจ ที่ไร้ขีดจำกัด ไร้ขอบเขตชีวมณฑล และทรัพยากรนั้นมีปริมาณจำกัดเป็นระบบปิด และถูกจำกัดอยู่ภายใต้กฎเทอร์โมไดนามิกส์ ระบบย่อยใดๆก็ตามภายในโลก เช่น ระบบเศรษฐกิจ เมื่อถึงจุดหนึ่ง ก็จะหยุดเติบโต หยุดขยายตัว และปรับตัวเองเข้าสู่สภาวะสมดุล หรือสภาวะคงที่ (Steady state) เช่น อัตราการเกิดจะสมดุลเท่ากับอัตราการตาย อัตราการผลิตจะเท่ากับอัตราการเสื่อมค่า
ในช่วงเวลา 70 ปีที่ผ่านมา ประชากรโลกได้เพิ่มขึ้น 3 เท่า ส่วนวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้น และผลิตในเชิงสินค้ามีปริมาณมากขึ้นหลายเท่า จากการศึกษาผลกระทบด้านนิเวศน์แสดงให้เห็นว่า ปริมาณพลังงานและวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการดูแลรักษา หรือทดแทนสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นยิ่งมีจำนวนสูงขึ้นมากเช่นกัน และเมื่อโลกเราเต็มไปด้วยมนุษย์และสิ่งที่เราสร้างขึ้นยิ่ง สิ่งที่มีอยู่เดิมบนโลกย่อมลดน้อยลงมากขึ้น และในการรับมือกับการขาดแคลนในรูปแบบใหม่นี้ บรรดานักวิทยาศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ ต้องพัฒนาแนวคิดเศรษฐกิจใหม่ใน “โลกอันแออัด” เข้าแทนที่แนวคิดเศรษฐกิจแบบเดิมๆที่มีพื้นฐานอยู่บน “โลกที่ว่างเปล่า”
ในการศึกษาเศรษฐศาสตร์จุลภาค ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตรวจวัดประมาณการณ์ และแสดงสมดุลระหว่างต้นทุนกับ ผลประโยชน์ที่ได้รับในกิจกรรมหนึ่งๆ บุคคลเฉพาะรายและธุรกิจจะเห็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า เมื่อใดควรยุติการขยายตัวของกิจกรรมนั้นๆ ในความเป็นจริง เมื่อกิจกรรมหนึ่งขยายตัว ในที่สุดแล้ว มันจะเข้าแทนที่กิจกรรมอื่นๆ ซึ่งกิจกรรมที่สูญเสียไปต้องนับเป็นต้นทุนด้วยเช่นกัน ธุรกิจจะหยุดขยายตัว ณ จุดที่ต้นทุนที่จ่ายเพิ่มขึ้น มีค่าเท่ากับหรือมากกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับเพิ่ม เช่น เราจะหยุดจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อไอศกรีม เมื่อไอศกรีมที่ซื้อเพิ่มนั้น สร้างความพอใจให้เราน้อยกว่า การนำเงินนั้นไปซื้อสิ่งอื่น นี่คือ เกณฑ์มาตรฐานในเศรษฐกิจระดับจุลภาค แต่ในเศรษฐศาสตร์ระดับมหภาคแบบเดิม ไม่มีเกณฑ์บ่งชี้ว่า “เมื่อใดควรจะหยุด”
เนื่องจากการหันไปยึดแนวทางการดำเนินเศรษฐกิจแบบยั่งยืนที่แท้จริง ในโลกอันจำกัด ต้องก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอย่างมาก ทั้งในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ นักการเมือง และประชาชน บางคนถึงกับระบุว่าแนวคิดนี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่อีกด้านหนึ่ง แนวคิดเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ในรูปแบบที่มีการขยายตัวไปตลอดกาลตามแนวทางแบบเก่า เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในแง่กายภาพ ชีวฟิสิกส์ของโลกใบนี้ ดังนั้นถ้าให้เลือกระหว่าง สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทางการเมือง กับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทางกฎเกณฑ์ธรรมชาติ คงพอจะมองกันออกว่า มนุษยชาติ ควรเลือกฟันฝ่าอุปสรรคไปทางใดที่พอจะมีความเป็นไปได้ ???

อย่างไร??? ถึงจะเรียกว่าเป็น ความยั่งยืน

เศรษฐกิจแบบยั่งยืนมีลักษณะเป็นอย่างไร โดยทั่วไปแล้วกล่าวได้ว่า เป็นเศรษฐกิจที่สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ในอนาคตที่ยาวไกลท่ามกลางข้อจำกัดของโลกพิภพ แต่ในรายละเอียด เราจะต้องพิจารณาปัจจัยที่ถือเป็นเกณฑ์วัด เป็นรายตัวอย่างลึกซึ้ง และทำความเข้าใจถึงความหมายที่ถูกต้อง รวมถึงสถานะบทบาทที่แท้จริงของปัจจัยแต่ละตัว ในการเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของความยั่งยืน บรรดานักเศรษฐศาสตร์ได้ให้ความสำคัญกับปัจจัย 5 ประการ ได้แก่
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ GDP
อรรถประโยชน์ Utility
จำนวนวัตถุดิบจากทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ไปและทิ้งไป Throughput
ทรัพย์สินทางธรรมชาติ Natural capital
ทรัพย์สินโดยรวม Total capital
บางคนอาจคิดว่าเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ก็คือ การรักษาอัตราการเติบโตของ GDP ไว้ให้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ตามแนวคิดนี้ ภาวะเศรษฐกิจที่ยั่งยืน มีความหมายเท่ากับ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการเข้าใจที่ผิดอย่างร้ายแรง และพวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพิจารณาตอบคำถามที่ว่า การเติบโตขยายตัวอย่างยั่งยืนตามแนวคิดมีความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ตามหลักชีวฟิสิกส์ของโลกหรือไม่??? แต่ว่าแนวคิดนี้มีประโยชน์มากในทางการเมือง เพราะคำว่า “เศรษฐกิจแบบยั่งยืน” สามารถสร้างความประทับใจ และเป็นโวหารที่สามารถปลอบประโลม บรรเทาปัญหาต่างๆที่สุมรุมเร้าอยู่ได้ ทั้งที่ในโลกแห่งความเป็นจริงบนพื้นฐานของแนวคิดแบบเดิมๆไม่อาจเกิดเศรษฐกิจที่ยั่งยืนขึ้นได้
แม้จะพยายามให้คำจำกัดความของความยั่งยืนในแง่ของการรักษา GDP ให้อยู่ในปริมาณที่คงที่ตลอดไป ปัญหาก็ยังไม่หมดไป เพราะ GDP ประกอบไปด้วย การปรับปรุงเชิงคุณภาพ คือการพัฒนา และการเพิ่มในเชิงปริมาณ คือการขยายตัว เศรษฐกิจที่ยั่งยืน ณ จุดหนึ่ง การขยายตัวจะต้องยุติลง แต่การพัฒนายังคงดำเนินต่อไป การปรับปรุงคุณภาพของสินค้าไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นการเพิ่ม GDP โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรเพิ่ม แนวคิดหลักอันเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงได้แก่ การหันเหจากแนวทางการขยายตัวในเชิงปริมาณ ด้วยการมุ่งเน้นจำนวนตัวเลข ซึ่งไม่อาจยั่งยืนไปได้นานนัก ไปมุ่งเน้นการพัฒนาเชิงคุณภาพ ซึ่งมีความยั่งยืนยาวนานกว่า
ปัจจัยตัวต่อไปที่เป็นองค์ประกอบของความยั่งยืน ได้แก่ อรรถประโยชน์ ซึ่งหมายถึง ระดับของความพึงพอใจที่ต้องการ หรือกล่าวง่ายๆคือ ระดับของความกินดีอยู่ดีของประชากร นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก สำนักนีโอคลาสสิค เชื่อว่า ความยั่งยืน คือ การรักษาหรือเพิ่มอรรถประโยชน์ให้ยืนยาวนานหลายชั่วอายุคน แต่คำจำกัดความนี้ไม่มีประโยชน์อันใดในทางปฎิบัติ ความพึงพอใจของมนุษย์เป็นเพียง ประสบการณ์ส่วนบุคคลเท่านั้น จึงไม่อาจถือเป็นบรรทัดฐานได้ และไม่อาจยึดถือเป็นพินัยกรรมสืบทอดไปหลายชั่วอายุคนได้
ระดับความพึงพอใจของมนุษย์ หรือ ระดับของความกินดีอยู่ดีของประชากร ควรอยู่ ณ จุดใด ไม่มีใครบอกได้ชัด แต่มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย ทั้งในระดับปัจเจกชนและระดับประเทศที่มีความเป็นอยู่อย่างพอเพียง แม้ปราศจากทรัพย์สินมากมาย แต่ก็มีชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพ ในขณะที่การแสวงหาความมั่งคั่ง ฟุ้งเฟ้อ อยากมี อยากได้ โดยคิดว่าจะทำให้มีชีวิตที่อยู่ดีกินดี กลับทำให้ชีวิตขาดคุณภาพ และเป็นการทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัวอย่างรุนแรง
ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในโลก ถือเป็นเกณฑ์วัดมาตรฐานได้ และเป็นมรดกสืบทอดจากมนุษย์จากรุ่นสู่รุ่นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สามารถวัดปริมาณวัตถุดิบ ที่เศรษฐกิจฉกฉวยประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้ มนุษย์นำวัตถุดิบมาจากธรรมชาติที่มีความซับซ้อนต่ำในระบบนิเวศน์ แปรสภาพเป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้เป็นประโยชน์ แต่ในที่สุด มนุษย์ก็ต้องทิ้งกลับคืนสู่ธรรมชาติในสภาวะที่มีความซับซ้อนสูง ถ้ากระบวนการดำเนินไปในทางมุ่งเน้นปริมาณ ท้ายที่สุดแล้ว ความสมดุลทางธรรมชาติจะสูญเสียไป ความยั่งยืนที่แท้จริง ในแง่ของทรัพยากรธรรมชาติ และระบบนิเวศน์อันจำกัด คือ การตระหนักถึงขีดความสามารถในการสร้างทรัพยากรทดแทน ตามกระบวนการทางธรรมชาติ และศักยภาพในการรองรับสิ่งเหลือใช้และขยะมลพิษต่างๆ จากกระบวนการผลิตสินค้าและจากตัวสินค้าเองที่เสื่อมสภาพ
นักเศรษฐศาสตร์ถือว่า ทรัพย์สินเป็นทุน หรือเป็นองค์ประกอบของความมั่งคั่ง คือ วัตถุดิบ สินค้าที่ผลิต และตัวโรงงาน ทรัพย์สินที่เป็นทุน แบ่งได้อย่างกว้างๆ คือ ทรัพย์สินทางธรรมชาติ และทรัพย์สินที่มนุษย์สร้างขึ้น
นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก สำนักนีโอคลาสสิค เชื่อว่า ทรัพย์สินที่มนุษย์สร้างขึ้น สามารถทดแทนทรัพย์สินทางธรรมชาติได้ ดังนั้น การจัดการดูแลจึงสามารถมองภาพรวมทั้งสองด้านไปพร้อมๆกันได้ แนวทางนี้เรียกว่า “ความยั่งยืนแบบอ่อน” แต่นักเศรษฐศาสตร์เชิงนิเวศน์ เชื่อว่า ทรัพย์สินทางธรรมชาติ และทรัพย์สินที่มนุษย์สร้างขึ้น มีส่วนเกื้อหนุนกัน แต่ไม่อาจทดแทนกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพยากรธรรมชาติจะมีการปรับสร้างและดูแลตัวเอง ถือเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีความจำกัดในตัวเอง แนวทางนี้เรียกว่า “ความยั่งยืนแบบเข้ม”
ตัวอย่างเช่น ความยั่งยืนแบบเข้มระบุว่า ปริมาณการจับปลาแต่ละปีมีจำนวนจำกัด เนื่องจาก ประชากรปลาแต่ละชนิดมีจำนวนจำกัด และไม่ว่าจะเพิ่มปริมาณทรัพย์สินที่มนุษย์สร้างให้มากขึ้นเท่าใด ก็ไม่สามารถทดแทนหรือชดเชยปริมาณปลาที่น้อยลงได้ แต่แนวคิดความยั่งยืนแบบอ่อนระบุว่า ปริมาณการจับปลาที่ลดน้อยลง สามารถชดเชยได้ด้วยการสร้างเรือหาปลาเพิ่มขึ้น ซึ่งแนวคิดความยั่งยืนแบบเข้มยืนยันว่า การเพิ่มจำนวนเรือหาปลา ไม่มีประโยชน์อันใดถ้าปริมาณปลายังมีจำนวนเท่าเดิม หรือลดน้อยลงเรื่อยๆ ดังนั้น หนทางที่ดีที่สุดคือ การจำกัดปริมาณการจับปลา เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะมีปลาให้จับในอนาคตอันยืนยาว
ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์แบบดั้งเดิม มักเกี่ยวข้องกับปัญหาด้านการจัดสรรปันส่วน การกำหนดส่วนแบ่ง ส่วนกระจาย ท่ามกลาง ประชากรผู้แข่งขันในการแสวงหา แต่ไม่คำนึงถึงปริมาณในภาพกว้างทางด้านกายภาพของโลกใบนี้ ดังความเชื่อที่ว่า ตลาดที่มีกลไกเหมาะสม จะสามารถกระจายและแบ่งปันทรัพยากรและสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ปัญหาก็คือ มันคนละเรื่องเดียวกันกับ ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ ที่จะสามารถบรรลุได้ด้วยนโยบายที่ถูกต้อง เหมาะสม มองการณ์ไกล และสอดคล้องกับความเป็นจริงของโลกใบนี้เท่านั้น